เพราะอะไร? ทำไมถึงตัดสินใจลาออกจากงานกันง่ายขึ้น?

Share on facebook
Share on twitter

Highlight:

  • ในยุคสมัยใหม่นี้ การลาออกจากงานประจำที่ทำ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้มากกว่าสมัยก่อน
  • มนุษย์เงินเดือน หรือคนทำงานหลายคนมีทัศนคติ ความคิดที่เปลี่ยนไปจากแต่ก่อน และเริ่มที่จะให้ความสำคัญกับสิ่งอื่นๆ ในชีวิตมากกว่างานที่พวกเขาทำอยู่ มากไปกว่านั้นสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ก็ไม่ได้เป็นแค่เทรนด์ที่จะผ่านมาและผ่านไปอย่างรวดเร็วอีกด้วย

เคยสังเกตกันไหมว่าผู้คนที่ทำงานในที่ใดที่หนึ่ง หรือสายงานใดสายงานหนึ่งเป็นระยะเวลานานมากๆ อย่างน้อยประมาณ 3-5 ปี เป็นอย่างต่ำ จะไม่ค่อยลาออกจากงานกันง่ายๆ หากเทียบกับยุคสมัยใหม่นี้ การลาออกจากงาน หรือย้ายสายงาน กลับกลายเป็นเรื่องธรรมดาซะอย่างนั้น?

ในช่วงระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายนที่ผ่านมา McKinsey ได้ทำการสำรวจกลุ่มผู้คนในตลาดแรงงานมากกว่า 13,000 คนทั่วโลก พบว่ากว่า 40% ของคนกลุ่มนี้ ต้องการที่จะลาออกหลังจากทำงานได้ไม่นานเท่าไหร่นัก ซึ่งตัวเลขนี้ชี้ให้เห็นถึงความคิด และทัศนคติของมนุษย์เงินเดือน หรือคนทำงานที่เปลี่ยนไปจากแต่ก่อนที่เริ่มที่จะให้ความสำคัญกับสิ่งอื่นๆ ในชีวิตมากกว่างานที่พวกเขาทำอยู่ เพราะหากเทียบกับคนรุ่นก่อนแล้วนั้น การลาออกจากงานที่ทำมาหลายปีถือว่าเป็นเรื่องที่ตัดสินใจได้ยาก และหลานคนก็ไม่กล้าที่จะออกจาก comfort zone ของตัวเองอีกด้วย

เมื่อเงินเดือนไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ส่งผลให้คนตัดสินใจลาออก แล้วสาเหตุอะไรบ้างที่ส่งผลให้อัตราการลาออกนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ?

สุขภาพจิตที่แย่เกิดจากการทำงาน อาการหมดไฟก็เกิดขึ้นตามมาด้วย

สำหรับหลายคน ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาอาจรู้สึกเหมือนการทำงานวนลูปที่ไม่มีวันจบสิ้น งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยชิคาโกพบว่า พนักงานในเอเชียได้ทำงานหลายชั่วโมงมากขึ้นในช่วงที่เกิดโรคระบาด ซึ่งในทางกลับกันประสิทธิภาพในการทำงานกลับลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะพนักงานที่มีลูกอยู่ที่บ้าน อาจจะทำให้การทำงานนั้นยากขึ้นเนื่องด้วยต้องดูแลลูกและทำงานไปด้วย ทำให้บางครั้งอาจจะต้องใช้เวลาในการทำงานมากขึ้น ซึ่งกลับกัน ส่งผลให้มีผลผลิตที่แย่กว่าเดิม

อาการหมดไฟที่เกิดจาก Work From Home  ก็มีผลเช่นกัน เนื้องานของพนักงานหลายคนต้องออกไปพบปะ ปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า หรือทีมในองค์กร แต่หลังการระบาดของโควิด-19 ทำให้การปฏิสัมพันธ์ต่อผู้คนนั้นน้อยลง จึงไม่แปลกที่การเข้าสังคมที่น้อยลงจะส่งผลให้คนลาออกจากงานเดิม

ความต้องการของ Flexible Working Hour มากขึ้นหลังโควิด-19 เริ่มซา

ในทางกลับกันพนักงานบางกลุ่มก็เลือกที่จะลาออกหลังจากที่บริษัทต่างเริ่มออกมาตราการให้ทุกคนกลับเข้าบริษัทเต็มตัว เพราะหลายๆ คนชอบที่จะทำงานที่บ้านแทนที่จะเข้าออฟฟิศทุกวัน อาจเป็นเพราะความสะดวกสบาย ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการเดินทาง ดังนั้นหลายคนจึงเลือกที่จะหางานใหม่ที่มีความยืดหยุ่นมากกว่า

เกือบครึ่งหนึ่งของคนที่ลาออกจากงานกำลังเปลี่ยนสาย หรือเส้นทางอาชีพของตัวเอง

“ในช่วงที่เกิดโรคระบาด ผู้คนจำนวนมากตระหนักว่าอุตสาหกรรมของพวกเขามีความไม่แน่ไม่นอน หรือไม่ปลอดภัยมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ทำงานในแนวหน้า” – บอนนี่ ดาวลิ่ง หนึ่งในผู้เขียนรายงานของ Mckinsey ได้กล่าวไว้

จากรายงานเดียวกันของ Mckinsey นั้น ได้พบว่าประมาณ 48% ของผู้ที่ลาออกต้องการที่จะแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมอื่นมากขึ้น สาเหตุหนึ่งก็เกิดมาจากโควิด-19 โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานอยู่แนวหน้าในช่วงนั้น

นอกจากนั้นสาเหตุที่ส่งผลให้คนเปลี่ยนสายงานมากขึ้น หรือเลือกที่จะมีธุรกิจเป็นของตัวเองแทน ก็เป็นเพราะได้ค้นพบความชอบ หรือทักษะใหม่ๆ ในช่วงก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะหลายปีที่ผ่านมา เทคโนโลยี และโซเชียลมีเดียได้เปิดเส้นทางให้ธุรกิจมากมายได้เติบโตผ่าน “ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (E-commerce)” 

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ได้รายงานเอาไว้ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาว่าธุรกิจ E-commerce ได้ ขยายตัวมากขึ้น จากปี 2563 ถึง 6.11% เนื่องจากผู้ประกอบการและผู้บริโภคมีการปรับตัวต่อสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ได้แล้ว นอกเหนือจากนั้น กระทรวงพาณิชย์ก็ได้พบว่า ในปี 2563 ที่ผ่านมานั้นมีประชาชนไทยได้เปิดธุรกิจอีคอมเมิร์ซมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ด้วยจำนวนที่เพิ่มขึ้นมาเป็นปีละ 798 ราย จาก 310 ราย ในช่วงปี 2561 ซึ่งจากข้อมูลนี้ก็แสดงให้เห็นว่า มีผู้คนมาทำธุรกิจบนโลกออนไลน์มากขึ้นกว่าแต่ก่อนอยู่พอสมควร

แม้ว่าผู้คนจะลาออกจากงานในระดับที่สูงเป็นประวัติการณ์ แต่หลายคนก็ไม่ได้ละทิ้งงาน หรือหายไปไหน เพียงพวกเขาก็หางานใหม่ ควบคู่ไปกับการโฟกัสที่สุขภาพจิต ความมั่นคงทางการเงินที่มากขึ้นกว่าเดิม มากไปกว่านั้น บางคนก็อาจกำลังค้นหาเส้นทางอาชีพสายอื่นอยู่ด้วย

ฉะนั้นบอกได้เลยว่า สถานการณ์ที่คนลาออกจากงานประจำจะไม่ได้เป็นเพียงแค่เทรนด์ที่ผ่านมาและผ่านไปในระยะเวลาอันแสนสั้นอย่างแน่นอน

อ้างอิง:

ETDA เผยมูลค่าตลาด e-Commerce ปี 64 โต 6.11%หลังใช้เทคโนโลยีเพิ่ม-มาตรการรัฐหนุน. (2022, April 1). RYT9. https://www.ryt9.com/s/iq03/3311879  

Smet, D., Dowling, B., Hancock, B., & Schaninger, B. The Great Attrition is making hiring harder. Are you searching the right talent pools? (2022, July 13). McKinsey & Company. https://www.mckinsey.com/capabilities/people-and-organizational-performance/our-insights/the-great-attrition-is-making-hiring-harder-are-you-searching-the-right-talent-pools 
พาณิชย์ เปิด 12 ธุรกิจที่น่าจับตามองปี 2564. (2021, January 28) .กรมพัฒนาธุรกิจการค้า  Department of Business Development. https://www.dbd.go.th/news_view.php?nid=469419433

เมื่อ Gen Z บอกว่า “หมาแมว” ดีกว่ามีลูก เพราะพวกเขาไม่ได้แค่เลี้ยงสัตว์ แต่เลี้ยงฝันให้กลายเป็นจริง

เมื่อ Gen Z บอกว่า “หมาแมว” ดีกว่ามีลูก เพราะพวกเขาไม่ได้แค่เลี้ยงสัตว์ แต่เลี้ยงฝันให้กลายเป็นจริง ถ้าคุณคิดว่าเจ้าหมาหรือแมวที่บ้านของคุณเป็นแค่สัตว์เลี้ยงธรรมดา คุณอาจไม่ได้เกิดในยุคของ Gen Z เพราะสำหรับคนรุ่นนี้ หมากับแมวไม่ใช่แค่เพื่อนซี้ แต่คือโปรเจกต์สร้างความสุข ไลฟ์สไตล์ และความยั่งยืนที่ต้องเป๊ะทั้งในชีวิตจริงและบนโลกออนไลน์ ตามรายงานจาก The Sun

Breaking orthodoxies จะเกิดอะไรขึ้นถ้า..? – มาหัดตั้งคำถามให้องค์กรเติบโตกันเถอะ

Highlights: ด้วยโลกในปัจจุบัน บางบริษัทเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าปรับตามให้ทันยุคสมัย และความต้องการของผู้บริโภค เนื่องจากพวกเขาให้ความสำคัญกับการรักษาตำแหน่งทางการตลาดในปัจจุบัน และขอแค่สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าที่มีอยู่มากกว่าที่จะคว้านหาการสร้างโอกาสใหม่ และด้วยสาเหตุนี้เอง ที่มักจะทำให้พวกเขาต้องถึงทางตันในการทำธุรกิจ ดังนั้น ทางออกแบบไหนกันที่จะทำให้องค์กรที่ไม่กล้าเสี่ยงแบบนี้เติบโตได้? รู้จัก Breaking Orthodoxies (การทำลายความเชื่อดั้งเดิมในธุรกิจ) การทำลายความเชื่อดั้งเดิมในธุรกิจ การท้าทายและตั้งคำถามถึงวิธีการทำสิ่งต่างๆ แบบเดิมๆ ออร์ทอดอกซ์เป็นข้อสันนิษฐาน หรือความเชื่อที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นจริงในอุตสาหกรรม ตลาด

รู้จัก ‘Penguin Effect’ จากคนธรรมดาพัฒนาเป็นเพนกวินผู้กล้า!

Highlight: ที่มาที่ไปของ Penguin Effectเพนกวินเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีพฤติกรรมน่าสนใจ และทำให้เราขมวดคิ้วอยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปรากฏการณ์นี้ เรียกว่า ‘Penguin Effect’ ที่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับพฤติกรรมของมนุษย์ได้อย่างเหลือเชื่อ! นกเพนกวินแม้ในขณะที่หิวโหยยังสามารถยืนท้าลมหนาวเป็นเวลานานบนชายฝั่ง หรือแผ่นน้ำแข็งร่วมกับฝูง พร้อมทั้งคอยพยายามผลักและดันตัวที่อยู่ข้างหน้าลงไปในน้ำ ซึ่งสาเหตุมาจากที่พวกมันไม่กล้ารีบเข้าไปเอง เพราะกลัวนักล่าอย่าง แมวน้ำ, สิงโตทะเล ,วาฬเพชฌฆาต หรือ แม้แต่ฉลาม