รู้จักกับ ‘Structured Problem Solving Skills’ สูตรการทำงานสุด Cliché แต่แก้ได้แทบจะทุกสถานการณ์

Share on facebook
Share on twitter

Highlight:

  • ปัญหาที่มนุษย์อย่างเราประสบพบเจอนั้นไม่ได้อยู่ที่ขนาดความร้ายแรงของปัญหาที่ทำให้เราผิดหวัง หากแต่ว่ามันขึ้นอยู่ที่วิธีการที่เราจะจัดการกับมันต่างหาก
  • Structured problem solving หรือ การแก้ปัญหาแบบมีโครงสร้าง โดยหลักการของวิธีนี้เป็นทักษะที่เรียนรู้ที่ช่วยให้เราคิดแบบย้อนหลัง เพื่อช่วยให้เราค่อยๆ เห็นภาพของปัญหาที่เกิดขึ้น และสามารถที่จะประเมินปัญหาอย่างมีแบบแผนและชัดเจนมากที่สุด

บ่อยครั้งที่เวลาเราพบเจออุปสรรค หรือความท้าทายอะไรบางอย่าง เรามักจะตั้งคำถามกับตัวเองว่า “เราควรทำอย่างไรดีเพื่อที่จะก้าวผ่านปัญหาที่เจอนี้ได้อย่างง่ายดาย?”  และนี่แหละคือจุดเริ่มต้นของวิธีการแก้ไขปัญหาที่เราพยายามจะหาคำตอบหรือทางออกของอุปสรรคเหล่านั้น และการที่เราจะหาทางออกของเรื่องราวที่เราเผชิญอยู่ได้

ปัญหาที่มนุษย์อย่างเราประสบพบเจอนั้นไม่ได้อยู่ที่ขนาดความร้ายแรงของปัญหาซะทีเดียว หากแต่ว่ามันขึ้นอยู่ที่วิธีการที่เราจะจัดการกับมันต่างหาก

เราควรจะรู้จักหาวิธีการลงมือจัดการกับมันก่อนที่เราจะเริ่มแก้ปัญหา 

การแก้ปัญหาได้ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อช่วยให้มนุษย์ผ่านกระบวนการรับรู้ปัญหาและความท้าทายในขั้นแรก ซึ่งส่งผลให้เราค้นพบวิธีแก้ปัญหาที่เป็นไปได้ เพื่อที่จะช่วยให้เราประเมินสิ่งที่เหมาะสมในลำดับสุดท้าย

มากไปกว่านั้น ความสำคัญของการแก้ปัญหาแบบมีโครงสร้างเป็นสิ่งที่ผู้ที่กำลังหางานหลายคนต้องมีติดตัว เพราะในหลายครั้งที่เราต้องอยู่ในขั้นตอนการสัมภาษณ์งาน เรามักจะถูกตั้งคำถามจากผู้สัมภาษณ์ว่า หากเราพบเจอสถานการณ์ x เราจะแก้ไขปัญหานี้ด้วยวิธีไหน และอย่างไร?” ดังนั้นจึงจะเห็นได้ว่าในองค์กรก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ไม่มากก็น้อย

จะว่าไปแล้ว สกิลนี้มันน่าสนใจตรงที่เมื่อมีความซับซ้อนเกิดขึ้นระหว่างทางการค้นหาคำตอบ เราเองก็จะต้องโฟกัสและให้ความสำคัญกับการกำหนดปัญหาที่ดีด้วยวิธีการที่ทำให้เราเห็นภาพของโครงสร้างในการแก้ปัญหา (Structured problem solving) 

Structured Problem-Solving คืออะไร?

Structured problem solving หรือ การแก้ปัญหาแบบมีโครงสร้าง โดยหลักของวิธีนี้เป็นทักษะที่เรียนรู้ที่ช่วยให้เราคิดแบบย้อนหลังกลับ เพื่อช่วยให้เราค่อยๆ เห็นภาพของปัญหาที่เกิดขึ้น และสามารถที่จะประเมินปัญหาอย่างมีแบบแผนและชัดเจนมากที่สุด

หากลองค้นหาในอินเทอร์เน็ต คงจะเจอวิธีการมากมายล้านแปด แต่ในบทความนี้ Mydemy ต้องการนำเสนอกะบวนการคิดเพื่อการแก้ไขปัญหา ที่จะทำให้ผู้อ่านทุกคนเห็นภาพได้ดีที่สุด นั่นก็คือ

  1. การวิเคราะห์ทำความเข้าใจปัญหา: วิธีนี้คือการที่เราค่อยๆ คิดประมวลผลออกมาถึงภาพรวมของสถานการณ์ที่เราเผชิญอยู่คืออะไร เกิดจากอะไรและจากใคร? เราสามารถควบคุมมันได้ไหม? การเริ่มด้วยการทำความเข้าใจของสิ่งที่เกิดขึ้นจะช่วยให้เรามองเห็นถึงต้นตอของปัญหาได้อย่างชัดเจน และง่ายดาย
  2. พยายามนึกถึงผลลัพธ์ที่จะสามารถแก้ไขปัญหาของเราได้: หลังจากที่เรามองเห็นสาเหตุของปัญหาได้แล้ว สเต็ปต่อไปคือการลิสต์วิธีแก้ปัญหาที่สามารถใช้ได้ โดยที่ไม่ต้องกังวลหากวิธีแก้ปัญหานั้นดี ไม่ดี หรือไม่ประสิทธิผล เพราะเราต้องการรู้ความเป็นไปได้ของทางออกของปัญหานี้ ดังนั้นยิ่งมีทางออกมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งจะเจอวิธีที่เหมาะสมที่สุดมากขึ้นจริงไหม?
  3. ถึงเวลาวางแผนเพื่อทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการออกมา: ขั้นตอนนี้เกี่ยวกับการกำหนดขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการทำให้ผลลัพธ์ของคุณทำงานอย่างชัดเจน หลังจากที่เราเข้าใจปัญหา และรู้ถึงความเป็นไปได้
  4. มาทบทวนและประเมินผลก่อนจะเริ่มลงมือ: การทบทวนความคืบหน้าของเราเป็นส่วนสำคัญของการเรียนรู้การแก้ปัญหาที่มีโครงสร้างอย่างมืออาชีพ เมื่อเราสามารถมองเห็นปัญหา วิธีแก้ไข และแผนการลงมือได้อย่างแจ่มแจ้งแล้ว การประเมินถึงสิ่งที่เราควรทำจะง่ายขึ้นมาก อีกทั้งยังถือว่าเป็นการสร้างความรอบคอบให้ตัวเองอีกด้วย ไม่แน่นะ เราอาจจะเจอข้อผิดพลาดในบางจุดก็เป็นได้

ดังนั้นนอกจากที่เราจะเจอทางออกของปัญหาที่เผชิญอยู่ เราก็จะสามารถเรียนรู้จากความผิดพลาดมากพอๆ กับความสำเร็จนี้ด้วยเหมือนกัน

เข้าใจแล้วหรือยัง? ว่าการเรียนรู้กระบวนการคิดถึงวิธีการแก้ไขปัญหาแบบมีชั้นเชิง หรือโครงสร้างจีงเป็นทักษะที่ไม่ควรถูกมองข้ามไปไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เพราะนี่ก็เป็นสิ่งที่จะช่วยให้เราหางาน หรือทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ง่ายขึ้นอีกด้วยนะ!

อ้างอิง:

Repenning, N. P. (2017, March 13). The most underrated skill in management. MIT Sloan Management Review. https://sloanreview.mit.edu/article/the-most-underrated-skill-in-management/ 
Theodotou, M. (2023). ELearning Skills 2030: Structured Problem-Solving Methods. eLearning Industry. https://elearningindustry.com/elearning-skills-2030-structured-problem-solving

เมื่อ Gen Z บอกว่า “หมาแมว” ดีกว่ามีลูก เพราะพวกเขาไม่ได้แค่เลี้ยงสัตว์ แต่เลี้ยงฝันให้กลายเป็นจริง

เมื่อ Gen Z บอกว่า “หมาแมว” ดีกว่ามีลูก เพราะพวกเขาไม่ได้แค่เลี้ยงสัตว์ แต่เลี้ยงฝันให้กลายเป็นจริง ถ้าคุณคิดว่าเจ้าหมาหรือแมวที่บ้านของคุณเป็นแค่สัตว์เลี้ยงธรรมดา คุณอาจไม่ได้เกิดในยุคของ Gen Z เพราะสำหรับคนรุ่นนี้ หมากับแมวไม่ใช่แค่เพื่อนซี้ แต่คือโปรเจกต์สร้างความสุข ไลฟ์สไตล์ และความยั่งยืนที่ต้องเป๊ะทั้งในชีวิตจริงและบนโลกออนไลน์ ตามรายงานจาก The Sun

Breaking orthodoxies จะเกิดอะไรขึ้นถ้า..? – มาหัดตั้งคำถามให้องค์กรเติบโตกันเถอะ

Highlights: ด้วยโลกในปัจจุบัน บางบริษัทเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าปรับตามให้ทันยุคสมัย และความต้องการของผู้บริโภค เนื่องจากพวกเขาให้ความสำคัญกับการรักษาตำแหน่งทางการตลาดในปัจจุบัน และขอแค่สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าที่มีอยู่มากกว่าที่จะคว้านหาการสร้างโอกาสใหม่ และด้วยสาเหตุนี้เอง ที่มักจะทำให้พวกเขาต้องถึงทางตันในการทำธุรกิจ ดังนั้น ทางออกแบบไหนกันที่จะทำให้องค์กรที่ไม่กล้าเสี่ยงแบบนี้เติบโตได้? รู้จัก Breaking Orthodoxies (การทำลายความเชื่อดั้งเดิมในธุรกิจ) การทำลายความเชื่อดั้งเดิมในธุรกิจ การท้าทายและตั้งคำถามถึงวิธีการทำสิ่งต่างๆ แบบเดิมๆ ออร์ทอดอกซ์เป็นข้อสันนิษฐาน หรือความเชื่อที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นจริงในอุตสาหกรรม ตลาด

รู้จัก ‘Penguin Effect’ จากคนธรรมดาพัฒนาเป็นเพนกวินผู้กล้า!

Highlight: ที่มาที่ไปของ Penguin Effectเพนกวินเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีพฤติกรรมน่าสนใจ และทำให้เราขมวดคิ้วอยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปรากฏการณ์นี้ เรียกว่า ‘Penguin Effect’ ที่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับพฤติกรรมของมนุษย์ได้อย่างเหลือเชื่อ! นกเพนกวินแม้ในขณะที่หิวโหยยังสามารถยืนท้าลมหนาวเป็นเวลานานบนชายฝั่ง หรือแผ่นน้ำแข็งร่วมกับฝูง พร้อมทั้งคอยพยายามผลักและดันตัวที่อยู่ข้างหน้าลงไปในน้ำ ซึ่งสาเหตุมาจากที่พวกมันไม่กล้ารีบเข้าไปเอง เพราะกลัวนักล่าอย่าง แมวน้ำ, สิงโตทะเล ,วาฬเพชฌฆาต หรือ แม้แต่ฉลาม