7 วิธีพักผ่อนที่มากกว่าแค่การนอนหลับ

Share on facebook
Share on twitter

Highlights:

  • เมื่อพูดถึงการฟื้นฟูตัวเอง ผู้คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงการนอนหลับเป็นสิ่งแรก แต่จริงๆแล้วนั้น การนอนหลับอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการพักผ่อน
  • ดร. ซอนดรา ดาลทัน สมิธ (Dr. Saundra Dalton-Smith) ได้บรรยายเอาไว้ใน TEDxAtlanta ปี 2019 ว่า การนอนนั้นเป็นเพียงแค่ 1 ใน 7 วิธีของการพักผ่อน

คงจะเป็นปกติที่เราจะมีอาการเหนื่อยล้ามากๆ หลังจากผ่านการใช้ชีวิตประจำวันมาในแต่ละวัน วิธีการพักผ่อนที่เรามักจะนึกถึงเพื่อบรรเทาอาการเหล่านี้ก็คงจะหนีไม่พ้นการพยายามนอนหลับให้เต็มอิ่ม หรือนอนให้ได้มากที่สุด แต่หารู้ไม่ว่าการนอนหลับนั้นไม่ใช่การฟื้นฟูร่างกายที่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกนะ

เมื่อการนอนหลับไม่ใช่การพักผ่อนที่ถูกต้องที่สุด

อย่างไรก็ตาม การนอนหลับพักผ่อนก็ไม่ใช่วิธีที่เวิร์คสำหรับทุกคนเสมอไป.. เพราะมีวิจัยจาก Sleep Foundation ออกมาว่า คนไทยโดยเฉลี่ยนั้นมีปัญหาการนอนมากถึง 30-40 เปอร์เซ็นต์ หรือเฉลี่ยประมาณ 19 ล้านคนด้วยกัน ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูงอยู่เหมือนกัน ซึ่งปัจจัยที่ทำให้นอนไม่หลับนั้นก็มีอยู่มากมาย ดังนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่การนอนหลับจะฟื้นฟูสภาพร่างกาย และจิตใจให้กับทุกคนได้ 

แล้วเราเคยสงสัยกันหรือไม่ว่า เพราะอะไร ทำไมบางครั้งหลังจากที่เราตื่นมาจากการนอน ไม่ว่าจะ 7-8 ชั่วโมง หรือการงีบแค่ไม่กี่ 10 นาที ถึงไม่ได้ช่วยรู้สึกว่ามันเพียงพอ?

ดร. ซอนดรา ดาลทัน สมิธ (Dr. Saundra Dalton-Smith) ได้บรรยายเอาไว้ใน TEDxAtlanta ปี 2019 ว่า การนอนนั้นเป็นเพียงแค่ 1 ใน 7 วิธีของการพักผ่อนเท่านั้น โดยดร. ซอนดราได้กล่าวเอาไว้ว่า มนุษย์เรานั้นได้เข้าใจมาเสมอว่าเราได้พักผ่อนจากการนอนเป็นซะส่วนใหญ่ แต่ในความเป็นจริงแล้วการที่เรานอนหลับ หรือแม้แต่แค่เอนตัวลงบนโซฟาดูทีวี ก็สามารถส่งผลให้เรามีภาวะความอ่อนเพลียเรื้อรังได้อีกด้วย

แล้ว.. การพักผ่อนที่แท้จริงคืออะไรกันล่ะ?

การพักผ่อนเป็นการบำบัดทางเลือกที่ปราศจากสารเคมี ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากที่สุด ทุกกิจกรรมที่คุณทำ ต้องการพลังงาน และพลังงานส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นเพียงทางกายภาพเท่านั้น ซึ่งมนุษย์เราได้เข้าใจผิดเกี่ยวกับการพักผ่อนมาโดยตลอด แถมเรายังมองข้ามวิธีการอื่นๆ ไปอีกด้วย 

รู้จัก 7 วิธีการพักผ่อนที่เหมาะสม:

  1. Physical Rest: การพักผ่อนทางกายภาพ ที่หมายถึงการหยุดพักจากการออกแรงกายนั่นเอง เช่น การพักฟื้นฟูร่างจากการออกกำลังกาย ซึ่งการพักผ่อนทางร่างกายจะทำให้ร่างกายมีโอกาสปลดปล่อยความตึงเครียด และเข้าสู่สภาวะสงบได้ดีเลยทีเดียว
  2. Mental Rest: การพักผ่อนทางจิตใจเกิดจากการที่เราได้ให้โอกาสตัวเองใช้สมองให้น้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยทำงาน หรือเรียน หากเราไม่หาเวลาพักผ่อนคลายเครียดแล้วละก็ อาการ Burnout จะถามหาเราได้ไม่ยาก ดังนั้นการหยุดจ้องคอมพ์ ตอบอีเมลล์ ลุกไปจิบกาแฟ หรือล้างจานสักแว๊บนึงก็ช่วยได้อยู่เหมือนกัน
  3. Social Rest: แม้ว่ามนุษย์เรานั้นจะเป็นสัตว์สังคม แต่การพักผ่อนทางสังคมการห่างจากการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่มากเกินไปก็สามารถช่วยฟื้นฟูอาการเหนื่อยล้าได้เช่นกัน แคน Introvert อย่าได้ดีใจไปนะ เพราะอย่างไรก็ตามหลังจากที่ฮีลตัวเองแล้ว เราก็ยังต้องมีปฏิสัมพันธ์ต่อคนอื่นด้วย
  4. Creative Rest: ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า แม้แต่คนที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์มาก เช่น นักดนตรี ศิลปิน หรือนักเขียน ก็ยังต้องการหยุดพักจากการสร้างสรรค์! พวกงาน Creative ทั้งหลายแหล่ ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์นั้นก็ต้องมีเวลาพักจากการพยายามเค้น ”ความสร้างสรรค์” เหมือนกัน เพราะหากไม่มีการพักสมองเลย งานที่ต้องใช้ความครีเอทีฟนั้นมักจะออกมาเป็นรูปเป็นร่างยากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า นี่เป็นสาเหตุที่ทำไมเวลานักดนตรีทั้งหลายถึงใช้เวลาแต่เพลงเป็นปี หรือแม้แต่นักเขียนหนังสือก็เขียนไม่จบสักที..
  5. Emotional Rest: เราสามารถลดภาระความตึงเครียดในจิตใจของพวกเราจากการแชร์อารมณ์และความรู้สึกของตัวเอง และในการทำเช่นนั้น เราสามารถส่งเสริมสภาพจิตใจที่มีสุขภาพดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น รายการพุธทอล์คพุธโทร ของไทยเรานั่นเอง ที่เปิดโอกาสให้ผู้ฟังได้ระบายความรู้สึกที่ไม่สามารถเล่าให้คนรอบข้างฟังได้ แค่ได้ปลดปล่อยมันออก คนเล่าก็รู้สึกโล่งขึ้นมากแล้วล่ะ
  6. Spiritual Rest: การพักผ่อนจิตวิญญาณนั้นหมายถึงการพึ่งพาอาศัยจิตของตัวเอง ซึ่งการพักผ่อนแบบนี้มีอะไรบ้าง? เช่น ยุบหนอ.. พองหนอ… ใช่แล้ว! คือการทำสมาธินั่นแหละ วิธีการนี้จะสามารถช่วยฟื้นฟูและสร้างจุดโฟกัสให้กับคนที่ทำสมาธิได้เป็นอย่างดี เพราะบางครั้งการปล่อยวาง และไม่คิดอะไรให้รกสมองก็เป็นการผ่อนคลายที่ดีมาก
  7. Sensory Rest: การพักผ่อนของประสาทสัมผัส เช่น แสงไฟหน้าจอโทรศัพท์ หรือแม้แต่มลภาวะทางเสียงเองก็ด้วย โดยสิ่งเหล่านี้นั้นมักจะส่งผลให้การนอนหลับของเรายากขึ้นเป็นพิเศษ อีกทั้งยังส่งผลเสียต่อสมาธิของเราอีกด้วย ดังนั้นหากเราลองพยายามเข้านอนโดยไม่จับโทรศัพท์ หรือแม้แต่การปิดเสียงการแจ้งเตือนที่รบกวนระหว่างการทำงานก็สามารถช่วยให้เราพักผ่อนจากการรบกวนประสาทสัมผัสได้อีกด้วย

อย่าลืมลองสังเกตตัวเอง และปรับเปลี่ยนวิธีการผ่อนคลายว่าวิธีการพักผ่อนแบบไหนเหมาะกับตัวเรามากที่สุด

อ้างอิง:

Dalton-Smith, S., MD. (2021, January 6). The 7 types of rest that every person needs. Ideas Ted. https://ideas.ted.com/the-7-types-of-rest-that-every-person-needs/ 

TEDx Talks. (2019, April 9). The real reason why we are tired and what to do about it | Saundra Dalton-Smith | TEDxAtlanta [Video]. YouTube. https://www.youtube.com/watch?v=ZGNN4EPJzGk 

คุ้มทรงธรรม, ส. (2023, July 7). คุณภาพการนอนหลับ ตอบโจทย์ทุกปัญหาการนอน. MCOT.net. https://www.mcot.net/view/UN1Q5Dnx 

4 วิธีสร้าง productivity ด้วยตัวเอง ส่งตรงจากมือถือ

Highlights: โดยปกติแล้วคนเรามักจะเริ่มหยิบเอาสมาร์ทโฟนของตัวเองออกมาในยามที่ไม่รู้จะทำอะไร หรือบางทีการเล่นโทรศัพท์มือถืออาจจะเกิดขึ้นจากการที่เรากำลังพยายามเบี่ยงเบนความสนใจจากข่าวสารที่ตึงเครียด หรืออยากหนีจากความวุ่นวายรอบๆตัว และด้วยสาเหตุพวกนี้แหละ มันมักจะเริ่มต้นด้วยการที่เราเลื่อนโซเชียลมีเดียไปเรื่อยๆ พอรู้ตัวอีกทีมันก็กินเวลาไปมากแล้ว การไถหน้าจอไปเรื่อยๆ เป็นผลมาจากการที่เราไม่มีเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงในการใช้มือถือ ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ในการใช้เวลาของเราซะเลย ด้วยสาเหตุพวกนี้แหละส่งผลให้การเลื่อนดูสมาร์ทโฟนไปอย่างไม่มีจุดมุ่งหมายมักจะเกิดขึ้นกับพวกเราในยุคนี้ได้อย่างง่ายดาย แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ใครว่าเราไม่สามารถสร้าง productivity จากสมาร์ทโฟนของพวกเราเองได้? จริงๆแล้ว สมาร์ทโฟนที่เราใช้กันอยู่ทุกวันมันมีประโชน์มากกว่าที่เราคิดซะอีก เพราะในโทรศัพท์ของเรายังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกมากมาย และสามารถสร้าง productivity

อัปสกิลที่มีอยู่ สู่งานใหม่ที่ดีกว่า ด้วย Transferable Skills

Highlights: ปัจจุบันการทำงานให้ตรงสายกับที่เรียนมานั้นเป็นอะไรที่ค่อนข้างที่จะท้าทายมากขึ้น โดยเฉพาะบางสายงาน เช่น งาน Adminstrative ทั่วไป หรือสาย Creative นั้นอาจจะเป็นสิ่งที่หลายคนรักและถนัด แต่ด้วยฐานความต้องการของสายอาชีพพวกนี้อาจจะไม่ได้มีความต้องการในตลาดมากเท่ากับพวกสายอาชีพเฉพาะ อย่างวิศวกร หรือเทคโนโลยี ก็อาจจะทำให้ผู้ที่อยากเปลี่ยนงาน หางานยากขึ้น ยิ่งบางอาชีพนั้นเงินค่าจ้างที่ได้ก็คงไม่ได้มากมายเท่าไร.. การล็อกดาวน์อย่างต่อเนื่องของโรคระบาดครั้งใหญ่ที่ผ่านมาได้ส่งผลให้พนักงานออฟฟิศได้ไตร่ตรองเส้นทางอาชีพของตน มองหาความสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและอาชีพมากขึ้น คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกที่ใครหลายคนในตอนนี้กำลังหาลู่ทางที่จะเปลี่ยนเส้นทางอาชีพของตัวเอง เพราะฉะนั้นการโยกย้ายเปลี่ยนงานจึงอาจจะเป็นสิ่งที่หลายๆ

รู้จักกับการเปิดโหมด Deep Work เพื่องานที่เรารักกันเถอะ

Highlights: จริงอยู่ที่การเป็น ‘Multitasker’ ในเวลานี้ค่อนข้างเป็นอะไรที่จำเป็นอย่างมากในยุคที่การแข่งขันสูงแบบนี้ การที่จะทำให้เราเป็นที่จับตามองขององค์กรนั้น ยิ่งมีผลงานเยอะ ก็อาจจะยิ่งถูกมองว่ามากประสบการณ์ก็เป็นได้ แต่ในความเป็นจริง การทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกันมักจะให้ผลลัพธ์ออกมามีประสิทธิภาพน้อยกว่า เพราะสมองของมนุษย์เราไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อให้ทำอะไรหลายอย่างได้พร้อมกันยังไงล่ะ! ดังนั้น… จะดีกว่าไหมหากเราหันมาโฟกัสงานอย่างใดอย่างหนึ่งในเวลาเดียวด้วย Deep Work? หากเราค้นหาคำว่าในอินเทอร์เน็ต สิ่งแรกที่จะเจอเกี่ยวกับ Deep Work คงหนีไม่พ้นหนังสือชื่อดังของ