Breaking orthodoxies จะเกิดอะไรขึ้นถ้า..? – มาหัดตั้งคำถามให้องค์กรเติบโตกันเถอะ

Share on facebook
Share on twitter

Highlights:

  • ปกติแล้วมนุษย์เราไม่ชอบทำลายหรือแก้ไขขนบธรรมเนียมเดิม เพราะคิดว่าสิ่งๆนี้มันดีอยู่แล้ว จึงไม่กล้าเปลี่ยนมัน แต่หารู้ไม่ว่าบางครั้งผู้คนอาจติดกับได้ เพราะไม่กล้าคิดนอกกรอบไปจากเดิม
  • หนึ่งในคำถามที่สำคัญที่สุดที่ในการทำงานร่วมกับองค์คือ พวกเขาจะสามารถทำลายหลักดั้งเดิมของเขา หรือของอุตสาหกรรมของเขาได้จริงแค่ไหน? 

ด้วยโลกในปัจจุบัน บางบริษัทเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าปรับตามให้ทันยุคสมัย และความต้องการของผู้บริโภค เนื่องจากพวกเขาให้ความสำคัญกับการรักษาตำแหน่งทางการตลาดในปัจจุบัน และขอแค่สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าที่มีอยู่มากกว่าที่จะคว้านหาการสร้างโอกาสใหม่ และด้วยสาเหตุนี้เอง ที่มักจะทำให้พวกเขาต้องถึงทางตันในการทำธุรกิจ ดังนั้น ทางออกแบบไหนกันที่จะทำให้องค์กรที่ไม่กล้าเสี่ยงแบบนี้เติบโตได้?

รู้จัก Breaking Orthodoxies (การทำลายความเชื่อดั้งเดิมในธุรกิจ)

การทำลายความเชื่อดั้งเดิมในธุรกิจ การท้าทายและตั้งคำถามถึงวิธีการทำสิ่งต่างๆ แบบเดิมๆ ออร์ทอดอกซ์เป็นข้อสันนิษฐาน หรือความเชื่อที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นจริงในอุตสาหกรรม ตลาด หรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง สมมติฐานเหล่านี้สามารถจำกัดและขัดขวางธุรกิจจากการเห็นโอกาสใหม่ๆ หรือพิจารณาแนวทางอื่นๆ ได้

การทำลายความเชื่อดั้งเดิมอาจเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับขับเคลื่อนนวัตกรรม และการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจ ด้วยการกล้าเสี่ยงที่จะออกมาจากสมมติฐาน และความเชื่อที่มีมายาวนาน เพื่อให้ธุรกิจที่กำลังดำเนินอยู่นั้นสามารถค้นพบโอกาสใหม่ๆ สร้างตลาดใหม่ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือบริการที่อาจจะสามารถพลิกโฉมวงการ ซึ่งสามารถเปลี่ยนเกมในอุตสาหกรรมของตนเองได้อย่างเหลือเชื่อ!

 “what if?” 

หากต้องการทำลายกฎดั้งเดิม องกรค์นั้นจำเป็นต้องตั้งคำถามว่า “จะเกิดอะไรขึ้น ถ้า..?” เพื่อสำรวจสถานการณ์ทางเลือก พวกเขาต้องเปิดใจ อยากรู้อยากเห็น และเต็มใจที่จะเสี่ยง สิ่งนี้ต้องการความเต็มใจที่จะท้าทายสถานะที่เป็นอยู่และยอมรับความไม่แน่นอน ซึ่งอาจเป็นเรื่องยากสำหรับบางธุรกิจ

จากหนังสือ Disrupt: Think the Unthinkable to Spark Transformation in Your Business” เขียนโดย ลูค วิลเลี่ยมส์ (Luke Williams) ศาสตราจารย์ด้านนวัตกรรมที่ Stern School of Business ของ NYU โดยหนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับแนวคิดของ ‘Disruptive Thinking’  ซึ่งเป็นแนวคิดในการท้าทายสภาพที่เป็นอยู่ และการคิดต่างเพื่อจุดประกายนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจ

วิลเลียมส์ให้เหตุผลว่า องค์กรจำนวนมากล้มเหลวในการทำธุรกิจ เพราะพวกเขามุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงทีละส่วนมากเกินไป และล้มเหลวในการคิดอย่างสร้างสรรค์ โดยในหนังสือเขาแนะนำว่า ธุรกิจควรให้ความสำคัญกับการคิดในสิ่งที่คาดไม่ถึง และถามว่า “จะเกิดอะไรขึ้น?” คำถามเพื่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์อย่างแท้จริง

ดังนั้นการทำอะไรช้าๆ แต่อาจจะได้พร้าเล่มงานก็อาจจะไม่จริงเสมอไป เพราะการพึ่งพาการเปลี่ยนแปลงที่อย่างช้าๆ แบบนี้เพียงอย่างเดียวอาจมีความเสี่ยงได้ไม่ต่างจากการเร่งลงมือทำ เนื่องจากการไม่ปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมของโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาอาจทำให้ความสามารถในการสร้าง หรือเพิ่มกำไรลดลงเมื่อเวลาผ่านไป..

อย่างไรก็ตาม การทำลายความเชื่อดั้งเดิมอาจนำไปสู่ผลตอบแทนที่สำคัญ ซึ่งรวมถึงความสามารถในการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น ความพึงพอใจของลูกค้าที่ดีขึ้น และความสามารถในการทำกำไรที่มากขึ้น ด้วยการท้าทายสมมติฐานและการคิดที่แตกต่างจากอะไรเดิมๆ ซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจสามารถขับเคลื่อนนวัตกรรมและสร้างคุณค่าใหม่ให้กับลูกค้า

ด้วยเหตุนี้บริษัทต่างๆในปัจจุบัน จึงต้องสร้างความก้าวหน้าด้วยการกล้าทำลายความเชื่อแบบดั้งเดิมขององค์กรด้วยนวัตกรรมและนอกเหนือจากนี้ยังต้องมีความคิดที่ก้าวหน้าอีกด้วย!

อ้างอิง:

Flipping Orthodoxies: How to Rewrite the Rules of Competition – before your competitors do. OCAD U CO. https://ocadu.co/blog/flipping-orthodoxies-how-to-rewrite-the-rules-of-competition/ 

Lemus, D. Design Thinking Ideation Technique: Challenging Orthodoxies. Peer Insight. https://peerinsight.com/blog/ideation-orthodoxies/

อัปสกิลที่มีอยู่ สู่งานใหม่ที่ดีกว่า ด้วย Transferable Skills

Highlights: ปัจจุบันการทำงานให้ตรงสายกับที่เรียนมานั้นเป็นอะไรที่ค่อนข้างที่จะท้าทายมากขึ้น โดยเฉพาะบางสายงาน เช่น งาน Adminstrative ทั่วไป หรือสาย Creative นั้นอาจจะเป็นสิ่งที่หลายคนรักและถนัด แต่ด้วยฐานความต้องการของสายอาชีพพวกนี้อาจจะไม่ได้มีความต้องการในตลาดมากเท่ากับพวกสายอาชีพเฉพาะ อย่างวิศวกร หรือเทคโนโลยี ก็อาจจะทำให้ผู้ที่อยากเปลี่ยนงาน หางานยากขึ้น ยิ่งบางอาชีพนั้นเงินค่าจ้างที่ได้ก็คงไม่ได้มากมายเท่าไร.. การล็อกดาวน์อย่างต่อเนื่องของโรคระบาดครั้งใหญ่ที่ผ่านมาได้ส่งผลให้พนักงานออฟฟิศได้ไตร่ตรองเส้นทางอาชีพของตน มองหาความสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและอาชีพมากขึ้น คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกที่ใครหลายคนในตอนนี้กำลังหาลู่ทางที่จะเปลี่ยนเส้นทางอาชีพของตัวเอง เพราะฉะนั้นการโยกย้ายเปลี่ยนงานจึงอาจจะเป็นสิ่งที่หลายๆ

รู้จักกับการเปิดโหมด Deep Work เพื่องานที่เรารักกันเถอะ

Highlights: จริงอยู่ที่การเป็น ‘Multitasker’ ในเวลานี้ค่อนข้างเป็นอะไรที่จำเป็นอย่างมากในยุคที่การแข่งขันสูงแบบนี้ การที่จะทำให้เราเป็นที่จับตามองขององค์กรนั้น ยิ่งมีผลงานเยอะ ก็อาจจะยิ่งถูกมองว่ามากประสบการณ์ก็เป็นได้ แต่ในความเป็นจริง การทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกันมักจะให้ผลลัพธ์ออกมามีประสิทธิภาพน้อยกว่า เพราะสมองของมนุษย์เราไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อให้ทำอะไรหลายอย่างได้พร้อมกันยังไงล่ะ! ดังนั้น… จะดีกว่าไหมหากเราหันมาโฟกัสงานอย่างใดอย่างหนึ่งในเวลาเดียวด้วย Deep Work? หากเราค้นหาคำว่าในอินเทอร์เน็ต สิ่งแรกที่จะเจอเกี่ยวกับ Deep Work คงหนีไม่พ้นหนังสือชื่อดังของ

เมื่อ Soft Skills แปรเปลี่ยนเป็น Power Skills

Highlights: ต้องยอมรับว่าหนึ่งในหัวข้อที่ฮอตฮิตมากที่สุดในแวดวงของธุรกิจในปัจจุบันนี้คือ การเพิ่มทักษะ (Upskilling) และการปรับทักษะใหม่ (Reskilling) เกี่ยวกับอนาคตของการทำงาน (Future of Work) องค์กรต่างๆ กำลังคว้านหาคอร์สเรียนจำนวนมากเพื่อพยายามที่จะ “เพิ่มทักษะ” ให้กับพนักงานของตัวเอง และพวกเขาเห็นผลลัพธ์ที่หลากหลาย Skills แบบไหน ที่องค์กรต่างใฝ่ฝันถึง? ปกติแล้วนั้นสกิลของพนักงานที่องค์กรมองหาจากพนักงาน มักจะหมายถึง