รู้หรือไม่?! อัตรา “การว่างงาน” ไม่ได้มาจากเทคโนโลยีเป็นหลัก

Share on facebook
Share on twitter

Highlight:

  • “การว่างงาน” (Unemployment) หมายถึง การที่คนจำนวนหนึ่งที่อยู่ในจังหวะเวลาที่กำลังไม่มีงานทำ  ยังไม่สามารถเจองานที่เหมาะสมกับตัวเองได้ หรืออาจจะกำลังรอ HR  โทรมาตอบรับให้เข้าที่ทำงานก็ได้เช่นกัน

การว่างงานไม่เพียงส่งผลกระทบต่อบุคคลเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงภูมิภาค และสังคมโดยรวมอีกด้วย

จากข้อมูลสรุปใหม่ที่จัดทำโดย องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ผลกระทบของการระบาดใหญ่ของโควิด-19 การว่างงานของชายและหญิงในประเทศไทยนั้นได้แตะระดับที่ไม่มีใครคาดถึงในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เป็นไปได้ว่าในปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดด หลายอาชีพที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ต้องการของตลาด กลับต้องค่อยๆหายไป บางบริษัทก็เลือกที่จะใช้เทคโนโลยีใหม่ๆแทนที่จะจ้างมนุษย์เงินเดือน เนื่องด้วยลงทุนคุ้มกว่า หรือประหยัดมากกกว่า ซึ่งนี่ก็ถือเป็นเหตุผลหลักๆ ที่การหางานเป็นอะไรที่ท้าทายมากขึ้น

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ การที่จำนวนคนว่างงานเพิ่มมากขึ้นในทุกวัน ไม่ได้หมายแปลว่าต้นตอมันมาจากการที่เทคโนโลยีกำลังจะมาแทนที่มนุษย์อะไรเทือกนั้นอย่างเดียว เพราะจริงๆแล้ว ยังมีอีกหลายสาเหตุที่ส่งผลให้เกิดอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น

ผลกระทบโดยตรงจากบทบาทของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป

อย่างที่บอกไปว่าเทคโนโลยีก็ถือว่าเป็นสาเหตุหนึ่ง ปัจจุบันนี้คือเวลาที่คอมพิวเตอร์หรือหุ่นยนต์ A.I. ได้เข้ามาแทนที่คนมากขึ้น ยิ่งโดยเฉพาะในช่วง 5-10 ปี ที่ผ่านมา ทำให้คนที่กำลังหางานส่วนใหญ่ไม่อยากเสียเวลาหางานสูญเปล่า ดังนั้นหลายๆคน จึงต้องหาทางฝึกอัปสกิลเพิ่มเติมก่อนจึงจะสามารถหางานใหม่ในสาขาที่ตนสนใจได้

เด็กจบใหม่กับอุปสรรคที่เรียนจบจากคณะที่ล้นตลาดการจ้างงาน

เป็นเด็กจบใหม่ในยุคโควิดหางานนั้นว่ายากแล้ว ดันจบมาในคณะที่ตลาดแรงงานต้องการน้อยยิ่งทวีคูณความยากเข้าไปอีก!  เศรษฐศาสตร์ , รัฐศาสตร์ , สังคมศาสตร์ , นิเทศศาสตร์ , สถิติ และสายบริหารจัดการ เป็นกลุ่มที่เสี่ยงตกงานสูง ยิ่งไปกว่านั้นบริษัทที่ค่าจ้างคุ้มเงินส่วนใหญ่ ก็มุ่งมั่นที่จะเลือกเด็กจบใหม่จากมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศ หรือเด็กจบนอกมากกว่า

การว่างงานไม่ได้เกิดจากการลดลงของตลาดการจ้างงาน เพราะในปัจจุบันพนักงานในหลายๆแห่งเริ่มที่จะลาออกโดยสมัครใจมากกว่าเดิม แล้วสาเหตุอะไรกันที่ส่งผลให้คนกล้าที่จะลาออกกันมากขึ้น?

จริงอยู่ที่คนว่างงานก็เยอะ และกำลังมองหางานก็แยะ แต่ในทางกลับกัน การลาออกก็ถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ในทุกองค์กร และก็เกิดขึ้นแทบจะตลอดเวลา ยกตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ The Great Resignation ในปี 2021 ที่ผ่านมา โดยการลาออกครั้งใหญ่นี้ กล่าวถึงจำนวนผู้ที่ลาออกจากงานเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่เริ่มต้นของการระบาดครั้งใหญ่ของโควิด-19 เพราะหลังจากที่ได้ทำงานจากที่บ้านเป็นเวลานานโดยไม่มีการเดินทาง ทำให้หลายคนได้มองเห็นว่าบาลานซ์ระหว่างชีวิตและการทำงาน (Work-Life-Balance) มีความสำคัญต่อการใช้ชีวิตพวกเขามากแค่ไหน

ด้วยสาเหตุนี้แหละ หลายคนจึงตัดสินใจออกจากงานที่ทำอยู่ก็มีมากขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะคนในกลุ่ม Gen Z ที่ตัดสินใจลาออกกันเอง จากการสำรวจ 35,000 คน Randstad พบว่า กว่า 56% ของพนักงานอายุระหว่าง 18 ถึง 24 ปี บอกว่า พวกเขาต้องการลาออกจากงานดีกว่าต้องมาทำงานให้กับบริษัทที่ไม่สามารถหา Work-life-balance ได้  Gen Z (อายุ 18 ถึง 24 ปี) และ Millennials (อายุ 25 ถึง 34 ปี) จัดอันดับไลฟ์สไตล์และความสุขของตนเองมาก่อน ในขณะที่อีกส่วนตอบว่า จะไม่เลือกองค์กรที่ไม่ให้ความสำคัญต่อความหลากหลายและการไม่แบ่งแยก (Diversity and Inclusion)

อย่างไรก็ตามปรากฏการณ์ The Great Resignation นี้ดูเหมือนยังจะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ หนึ่งในห้าของพนักงานทั่วโลกวางแผนที่จะลาออกในปี 2022 เพราะนอกจาก Work-life-balance แล้วนั้น อีกหนึ่งปัจจยสำคัญที่ส่งผลให้คนลาออกก็คือ การทำงานที่ไม่คุ้มเงิน

โดยผลสำรวจของ PwC ใน 44 ประเทศ เมื่อต้นปี 2022 ได้พบว่า มากกว่า 52,000 คน หรือ 71% เห็นตรงกันว่าค่าจ้างเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการลาออกจากงานโดยตรง เพราะเงินเดือนที่ได้นั้นบางทีก็ไม่คุ้มค่ากับเวลาที่เราลงแรงลงใจไป

เห็นแล้วหรือยังล่ะ ว่าไม่ใช่เพียงแค่เทคโนโลยีเท่านั้น แต่ก็ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ส่งผลให้อัตราการว่างงานนั้นยังทวีคูณเพิ่มมากขึ้น เพราะฉะนั้นไม่ใช่แค่เราแล้วล่ะที่ต้องปรับตัว แต่ทางด้านองค์กรเองก็เช่นกันที่ควรจะหันมาให้ความสำคัญต่อพนักงานของตนเองให้มากขึ้นเพื่อลดจำนวนตัวเลขของจำนวนคนที่จะออกจากงานให้เหลือน้อยลง

อ้างอิง:

Amadeo, K. (2022). Types of unemployment. The Balance. https://www.thebalancemoney.com/types-of-unemployment-3305522 

Kim, Y. (2022, April 8). Gen Z and Millennials Prefer To Be Unemployed Than Be Unhappy at Work. Hypebae. https://hypebae.com/2022/4/gen-z-millennials-rather-quit-jobs-unemployed-than-unhappy-study-data-trends 

The Great Resignation is not over: Here’s what employees say matters most at the workplace. (2022, December 8). World Economic Forum. https://www.weforum.org/agenda/2022/06/the-great-resignation-is-not-over/ 
Youth unemployment in Thailand hits new highs due to COVID-19. (2021, November 23). https://www.ilo.org/asia/media-centre/news/WCMS_829227/lang–en/index.htm

ทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์: ประเทศไทยเริ่มแล้วหรือยัง?

Highlight: “หากคุณดูผลกระทบของการแพร่ระบาดต่อการทำงาน เรามักจะให้ความสำคัญกับสถานที่ทำงานมากเกินไป อันที่จริงการทำงานจากระยะไกลและแบบผสมผสานสามารถก่อให้เกิดประโยชน์มากมาย แต่นั่นก็ยังไม่สามารถขจัดความเหนื่อยหน่ายและการทำงานหนักเกินไปได้”  – โจ โอคอนเนอร์ (Joe O’Connor)  กรรมการบริหารของ 4 Day Week Global เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2565

Slash Career – คุ้มไหมนะ ถ้าอยากมีมากกว่า 1 อาชีพ?

Highlights: มนุษย์เงินเดือนหลายคนพบว่า การทำงานประจำ หรือมีแค่อาชีพเดียวนั้นเป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายเกินไป ไม่ได้รู้สึกชอบ หรือรายรับอาจจะไม่เพียงพอต่อการดำรงวิติ ถ้าอย่างนั้น.. จะเป็นไปได้ไหมที่เราจะเลือกทำ (อย่างน้อย) สองอาชีพในเวลาเดียวกัน หรือมันจะดีกว่ารึเปล่าที่จะมุ่งมั่นไปที่สิ่งเดียว? Slash career เป็นคำที่ใช้เรียกของอาชีพที่คนเลือกทำงานหลายอย่างในเวลากันเดียว  ซึ่งคนเหล่านี้ก็ถูกเรียกว่า Slashies บางคนอาจจะมีสองงาน หรือมากกว่านั้นก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่าเราเป็น

เพราะอะไร? ทำไมถึงตัดสินใจลาออกจากงานกันง่ายขึ้น?

Highlight: เคยสังเกตกันไหมว่าผู้คนที่ทำงานในที่ใดที่หนึ่ง หรือสายงานใดสายงานหนึ่งเป็นระยะเวลานานมากๆ อย่างน้อยประมาณ 3-5 ปี เป็นอย่างต่ำ จะไม่ค่อยลาออกจากงานกันง่ายๆ หากเทียบกับยุคสมัยใหม่นี้ การลาออกจากงาน หรือย้ายสายงาน กลับกลายเป็นเรื่องธรรมดาซะอย่างนั้น? ในช่วงระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายนที่ผ่านมา McKinsey ได้ทำการสำรวจกลุ่มผู้คนในตลาดแรงงานมากกว่า 13,000 คนทั่วโลก พบว่ากว่า 40% ของคนกลุ่มนี้